Wednesday, April 27, 2016

การละเล่นที่ถูกหลงลืมตามกาลเวลาแต่ก็ทำให้เรายิ้มได้เมื่อนึกถึง



    จากอดีตถึงปัจจุบันการละเล่นไทยที่นับย้อนไป 30 ปีที่แล้ว หากเราลองนั่งๆนึกๆย้อนๆกลับไป คงไม่น่าจะหนีพ้น การจับกลุ่มกับเพื่อนแถวบ้าน แบ่งทีมชายหญิงบ้าง เล่นร่วมกันบ้าง นั่งนึกๆหลายๆคนคงมีรอยยิ้มขึ้นมาเล็กๆปล่อยใจจินตนาการไป ตอนนั้นเราทำอะไรอยู่ เรียนป.อะไร เล่นกับใคร เล่นอะไร พอเวลาเปลี่ยนโดนข้ามกาลเวลาด้วยช่วงวัยที่โตขึ้นจนมาถึงวัยทำงาน มานึกออกอีกทีก็ตอนที่เรามีลูกเอง ครั้นเมื่อจะเล่นกับลูกอีกทีคราวนี้จึงถึงบทจะสรรหากิจกรรมวัยเยาว์มาให้นึกย้อน ยิ้มมุมปากจึงเริ่มเกิดขึ้นมาอีกครั้งว่าเราก็เคยเป็นเด็กแบบนี้นี่เอง

-ตบแปะ เมื่อต้องมีผู้เล่น 2 คนนั่งสลับมือตบไปๆมาๆ มีบทกลอนมั่วๆให้เราท่องจำ ปากท่องไปมือตบไป ทำท่าทำทางกันอย่างน่ารัก อาทิ นางเงือกน้อย ตบบนตบล่าง ตบหน้าตบหลัง ตบพร้อมๆกัน 1 2 3 ...หรือจะเป็น โดเรมอน โดเรมี.. ก็ยังคงทำให้เราใช้เวลาระหว่างรอคาบเรียนได้จับคู่กับเพื่อนที่ถูกใจนั่งเล่นกัน

- ทอยตุ๊กตายาง เป็นกิจกรรมยอดฮิตของพวกผู้ชายที่บางทีพาเอาพวกผู้หญิงก็หลวมตัวเข้าไปเล่นด้วยก็มี เป็นเกมส์ที่เอาตุ๊กตายางตามการ์ตูนยอดฮิตมาพันกับลวดเพื่อหน่วงน้ำหนักให้สามารถทอยได้เข้าใกล้เส้นมากที่สุด ใครคาบเส้นถือว่าเป็นผู้ชนะ ไม่แปลกใจเลยที่ผู้ชายมักจะแม่นเรื่องระยะทาง สิ่งที่ได้ประโยชน์จากกิจกรรมนี้หากไม่รวมเรื่องการพนันเข้ามา คงน่าจะเป็นเรื่องการใช้สายตาในการกะระยะ

- อีกาฟักไข่ เกมส์นี้สนุกจริงๆเลยสามารถเล่นได้ทั้งชายหญิงโดยต่างคนต่างถอดรองเท้ากองรวมกันไว้ ใครโดนเป็นอีกาต้องนั่งคร่อมกองรองเท้าสูงเท่าภูเขาก็มีหากผู้เล่นมีจำนวนเยอะก็คูณ2เข้าไปรองเท้า1คู่มี2ข้างแล้วใช้ถ่านวงรอบเอาไว้ ให้ต่างคนต่างแย่งรองเท้าในวงของตัวเองออกมาให้ได้ ใครแย่งมาไม่ได้เป็นข้างสุดท้าย คนนั้นต้องเป็นอีกาคนต่อไป สร้างความสนุก เสียงหัวเราะ ลุ้นระทึกได้ตลอดเวลา

- บอลลูนสี เกมส์นี้น่าขันนัก หากวันไหนนัดกันเล่นเกมส์นี้แล้ว บอกได้เลยว่าในวันรุ่งขึ้น ทุกคนจะใส่เสื้อผ้าที่มีสีสันออกมาเพื่อที่จะได้มีสีในตัวเยอะขึ้น เมื่อคนเป็นต้องยืนอยู่บนรอยยางมะตอยที่ยาเส้นระหว่างถนนไว้หรือการใช้ถ่านมาลากไว้ คนเป็นจะพูดสี โดยใช้คำว่า บอลลูนสี.. อะไรก็ว่าไป ใครมีสีนั้นสามารถผ่านได้สบายใจ ส่วนใครไม่มีสีที่กำหนดต้องหาวิธีหลอกล่อเอาตัวข้ามเส้นไปให้ได้ก็ถือว่ารอด ดังนั้นคนเป็นนอกจากจะต้องไวแล้วยังต้องสังเกตให้ได้ว่าใครที่วิ่งช้าและไม่มีสีอะไร เราก็ใช้สีนั้นมาพูด เพื่อที่คนเป็นจะได้ออกมาเล่นบ้าง เกมส์นี้ให้ประโยชน์ในเรื่องของความเร็ว การใช้ทักษะการสังเกต สายตา ถือว่าเป็นเกมส์มีสีสันและเรียกเหงื่อกันได้ทีเดียว

- ซ่อนหาโป้งแปะ ใครเป็นคนปิดตาก็จะนับ 1-100 เพื่อให้เวลาเพื่อนๆได้มีเวลาหาที่ซ่อน โดยอาจตั้งกฏว่าห้ามซ่อนในบ้าน ให้ซ่อนแถวบ้านตรงไหนก็ตามแต่ เมื่อนับเสร็จจึงเริ่มออกหาเพื่อน หากหาเจอให้เรียกว่าโป้ง จนกว่าจะครบจำนวนเพื่อน แต่หากไม่ครบแล้วมีผู้เล่นคนสุดท้ายมาแปะ ผู้ค้นหาก็ต้องเป็นต่อไป แต่หากสามารถค้นหาเจอได้ทุกคน คนแรกที่ถูกโป้งจะต้องเป็นผู้เป็นคนหาต่อไป สนุกมากเลยทีเดียวเกมส์นี้ ประโยชน์ที่ได้รับ นอกจากจะสร้างความสามัคคีในกลุ่มเพื่อนแล้วในการช่วยกันพยายามแปะให้ได้เพื่อไม่ให้คนถูกเจอคนแรกเป็น ถือเป็นน้ำใจในวงเพื่อน น่ารักมากเกมส์นี้

- ปิดตาทายว่าใคร คนเป็นจะต้องปิดตาไล่จับเพื่อนในวงโดยห้ามออกนอกเส้นและผู้เป็นจะนับ1-10 ให้ทุกคนหาตำแหน่งที่ตนต้องหยุดเมื่อคนเป็นนับถึง10 คนเป็นจึงเริ่มคลำเริ่มหาแบบตาบอด พอจับโดนใครให้คลำๆแล้วทายว่าใคร ถ้าทายถูกคนนั้นต้องมาเป็นคนปิดตาคนต่อไป เกมส์นี้นอกจากจะฝึกการสังเกตจากการจำบุคลิกท่าทางของเพื่อนให้ได้แล้ว สัมผัสกลิ่นก็มีส่วนช่วยเยอะ เมื่อแต่ละคนมีกลิ่นตัวที่ไม่เหมือนกันไม่นับรวมการแบ่งแยกชายหญิงก็ถือว่าเกมส์นี้ฝึกทักษะสัมผัสได้เยอะทีเดียว

ประโยชน์ของการเล่นกิจกรรมแบบนี้ร่วมกันมีดังนี้

- การรักษากฎ ไม่ว่าจะมีกิจกรรมใดให้เลือก กฎกติกาที่ถือเป็นที่ยอมรับกันเลยนั่นคือการ โอนอยออก และเป่ายิ้งฉุบ ถือเป็นกฎแรกของการเลือกผู้เป็น เป็นการสร้างนิสัยการเคารพกฎหมู่ อีกทั้งเป็นสร้างนิสัยการยอมรับความจริงได้ดีอีกด้วย
- สุขภาพร่างกายแข็งแรงจากกิจกรรมนั้นๆ
- สร้างความสามัคคี การเห็นอกเห็นใจกันเองในหมู่มิตรภาพเพื่อน
- สร้างนิสัยความซื่อสัตย์ในตัวเอง เพราะเกมส์บางเกมส์อาจมีการโกงกันได้ การไม่พยายามขี้โกงถือเป็นสิ่งที่ต้องบอกตัวเองเสมอๆว่าเราจะไม่เอาเปรียบใคร
- สร้าง/กระชับความสัมพันธ์ในหมู่เพื่อน
- สร้างนิสัยน้ำใจนักกีฬา ในการรู้แพ้รู้ชนะให้อภัย

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้คาดว่าคงสร้างรอยยิ้มได้ไม่มากก็น้อย แล้วคุณล่ะ มีเกมส์กีฬาอะไรบ้างในวัยเด็กให้ได้นึกถึง

พัดลม USB สบู่อาหรับขิง

Monday, April 25, 2016

กลัวลูกหายติดป้ายชื่อดีหรือไม่


เมื่อเรามีความจำเป็นต้องพาลูกน้อยไปด้วยในห้างสรรพสินค้า ตลาดหรือแหล่งชุมชนที่คนพลุกพล่าน ผู้ปกครองย่อมมีความกังวลใจ กลัวว่าลูกจะพลัดหลงหรือหาย เราจึงคิดวิธีนำร่องแรกเลยคือการติดป้ายชื่อ อย่างน้อยคงจะทำให้อุ่นใจได้ว่าเมื่อลูกเราหายไป ต้องมีคนพามาคืนเราได้แน่นอนแต่ในทางกลับกัน เมื่อเรารู้สึกอุ่นใจ สบายใจแล้วว่าเด็กจะไม่สูญหายแน่นอน ก่อให้เกิด “ความประมาท”  ระหว่างทำกิจกรรม ไม่สนใจดูแลบุตรเท่าที่ควร ปล่อยเด็กละเลยสายตา และก็มีหลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับเด็กที่เป็นวัยอยากรู้อยากเห็น คำถามก็คือเกิดขึ้นได้อย่างไร ในเมื่อเรามีป้ายชื่อแล้วทำไมยังหายอีก

    ข้อดีของการติดป้ายชื่อ
1.    สามารถทำให้ผู้พบเห็นสามารถแจ้งผู้ปกครองได้ทันที เมื่อพบเจอเด็กสูญหาย
2.    สามารถนำเด็กไปส่งยังบ้าน สถานที่อาศัย ได้ในกรณีที่ติดต่อผู้ปกครองไม่ได้
3.    สามารถสร้างความคุ้นเคยกับเด็กได้ทันที
4.    ผู้ปกครองรู้สึกสบายใจเมื่อติดป้ายชื่อนี้แล้วว่า จะได้พบตัวคืนแน่นอนกรณีพลัดหลงหรือสูญหาย
ข้อเสียของการติดป้ายชื่อ
1.    คนร้ายอาจอาศัยป้ายชื่อ เรียกชื่อในการทำความคุ้นเคย สร้างความสนิทสนมกับเด็กได้ เพราะเด็กจะคิดว่าในเมื่อรู้จักชื่อเรา ก็น่าจะเป็นคนที่เราไปด้วยได้หรือพาเราไปแม่ได้ เด็กก็จะไปโดยไม่สงสัยเลยว่าอาจเป็นการลักพาตัว
2.    เมื่อคนร้ายได้ชื่อ ที่อยู่ที่ติดมากับตัวเด็กแล้ว ก็จะท่องจำ เมื่อมีการตรวจสอบหากกรณีที่ถูกจับได้และเป็นผู้ต้องสงสัย คนร้ายจะตอบข้อมูลได้ตรงตามความจริง หากมีเปรียบเทียบคำตอบกับเด็ก เจ้าหน้าที่ก็จะปล่อยตัวไป
 

การป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ สามารถทำได้หลายวิธี อาทิ การให้เด็กเรียนรู้การออกนอนสถานที่ การชี้นำการป้องกันกรณีเกิดการสูญหายพลัดหลง การพาเด็กให้รู้จักสถานที่เฉพาะหากเกิดการพลัดหลง  การสอนให้เด็กไม่ไว้ใจคนแปลกหน้า การสอนให้เด็กรู้จักวิธีป้องกันตัวอง การให้เด็กท่องจำเบอร์โทรผู้ปกครองหากอยู่ในวัยที่สามารถท่องได้แล้ว เพราะเมื่อเทียบระหว่าง ป้ายชื่อกับการท่องจำนั้น ประโยชน์และโทษนั้นต่างกันไปโดยสิ้นเชิง การไม่มีป้ายชื่อตัดปัญหาความไว้ใจในป้ายชื่อ ให้กลับมาคอยระแวดระวังมากขึ้นเพราะเมื่อคนร้ายจูงเด็กไปได้ โดยที่เด็กไม่ร้อง ไม่แสดงอาการตกใจ

ป้ายชื่อนี้ก็ถือว่าไม่สำคัญเลยหากเปรียบเทียบกับความเอาใจใส่ในการดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด และควรมั่นใจว่าสถานที่พาไปไม่เสี่ยงต่อการพลัดหลง หากผู้ปกครองสามารถดูแลได้ดี จับมือจูงมือ คอยดูไม่ให้ห่างสายตา ปัญหาเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น หากผู้ปกครองรักและใส่ใจบุตรหลานของท่านให้มากขึ้น ปัญหาอาชญากรรมก็ลดลงไปตามกัน 

พัดลม USB สบู่อาหรับขิง

Friday, April 22, 2016

เลือกสอนลูกวิธีไหน ได้ผลเร็วกว่ากัน



    ผู้ปกครองหลายๆคนเคยมีปัญหาเรื่องการสอนลูกให้มีความรู้ทักษะ การเรียนรู้สมตามวัย ดูเหมือนจะเป็นเรื่องยากมากหากผู้ปกครองยึดติดกับคำว่า เดี๋ยวไปโรงเรียนก็รู้เอง จะสายไปหรือไม่หากเราปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปวันๆเล่นปนเรียนรู้ไปตามประสาหรือเลือกที่จะสอนเองโดยใช้ทั้งหมดที่ผู้ปกครองมีประสบการณ์มาสั่งสอน หรือเข้าเรียนตามคอร์สสั้นๆที่ต้องเสียเงินแพงๆ หรือปล่อยไปให้ครูที่โรงเรียนสอนเอง แล้วปัญหาหรือสิ่งที่จะได้รับกลับมา จะเป็นอย่างไร จึงมีเหตุผลหลายอย่างมาเปรียบเทียบประกอบการตัดสินใจให้ลองดูกันค่ะ

1. การเรียนการสอนที่บ้าน หรือที่เรียกว่า Home School การสอนแบบนี้เป็นการสอนชนิดที่เรียกว่า ทุ่มทุนสร้าง เลยทีเดียว พ่อแม่ต้องสรรหาทุกสิ่งทุกอย่างมาสอนมาเล่น เพื่อเสริมทักษะในการเรียนรู้ ยิ่งในปัจจุบันสื่อกานสอนสำเร็จรูปได้ทำออกมามากมายและมีราคาถูกด้วย โดยผ่านผู้คิด วัดผลมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้ปกครองเพียงแค่เอามาประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเด็กและถูกต้องกับการใช้งานเพียงเท่านั้นเอง ซึ่งมีข้อดีในเรื่องราคาถูก หาซื้อง่ายซึ่งมีขายตามร้านเครื่องเขียน ร้านหนังสือ ตามเว็ปไซต์ต่างๆ หรือจนไปถึงสามารถทำเองได้

ข้อดี
1. ผู้ปกครองสามารถ วิเคราะห์ประเมินทักษะการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง สามารถทราบได้ถึงความเร็ว/ช้า ในการเรียนรู้ของบุตรได้เอง
2. สร้างความภาคภูมิใจให้ผู้ปกครองเองในเรื่องของการเลี้ยงดูได้อย่างเต็มที่จากตัวเราเอง
3. การสอนแบบนี้ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นที่ตั้ง จึงทำให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการเอาตัวรอดไปในตัว

ข้อเสีย
1. ไม่สามารถวัดผลได้ทันทีต้องอาศัยเวลาในการวัดผลเด็กอย่างน้อย 1-2ปี
2. เกิดความยุ่งยากในการเลือกสรรสื่อต่างๆที่จะใช้ในการสอน
3. หากผู้ปกครองเป็นคนใจร้อน ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ การสอนแบบนี้ดูจะไม่ค่อยเหมาะเนื่องจากเด็กจะมีความกดดันไปในตัวว่าต้องทำให้ได้เพียงแค่ให้ผู้ปกครองพอใจ พาลไปถึงการหวังที่จะได้รับคำชมเชย ของรางวัลในทุกครั้งที่ทำได้

2. การเรียนพิเศษเป็นคอร์สระยะสั้น
ในสมัยนี้สถาบันการสอนมีมากมายให้เลือก ใครดังใครมีเด็กที่ประสบความสำเร็จจากสถาบันตนเองยิ่งมากเท่าไร ชื่อเสียงก็มีมากตามไป

ข้อดี

1. สถาบันเหล่านี้มีมาตราฐานการสอนโดยผ่านการทดสอบจากองค์กรที่มีมาตราฐานรองรับเพื่อให้สามารถดำเนินการธุรกิจได้
2. มีบุคคลากรที่น่าเชื่อถือในการดำเนินงาน เช่น ครูจากโรงเรียนดังๆมาสอนเองหรือผู้ที่ประสบความสำเร็จมาเป็นผู้สอนเสียเอง
3. ผู้ปกครองสามารถไว้ใจได้ในเรื่องของผลการเรียนรู้ของเด็ก มีการวัดผลที่ได้มาตราฐาน

ข้อเสีย

1. มีค่าใช้จ่ายที่สูงไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในเรื่องการศึกษาหรือการเสียเงินระหว่างวัน
2. ไม่สะดวกหากต้องมีเรื่องการเดินทางเข้ามา
3. เนื่องจากการศึกษาในเรื่องเดียวกันอาจมีหลายสถาบันที่ต้องเลือก จึงเกิดความหนักใจในการเลือกสถาบันที่ดีที่สุด

3. เรียนตามหลักสูตรในโรงเรียน
การเรียนแบบนี้ต้องรอให้ถึงเกณฑ์อย่างต่ำ2ปีครึ่ง ดังนั้นการเรียนการสอนจะผ่านจากครูผู้สอนที่มีกระทรวงรองรับ มีแบบฝึกหัดที่สามารถนำไปใช้ประกอบการเรียนการสอบได้เลยเป็นแนวทางมาอยู่แล้ว

ข้อดี

1. มีค่าใช้จ่ายที่แน่นอนตามค่าเทอมของโรงเรียนที่เราเลือก
2. สามารถวางใจได้ในชื่อเสียงของโรงเรียนที่เราเลือกไว้
3. เป็นไปตามแบบแผนการเรียนการสอนปกติ

ข้อเสีย

1. อาจเกิดความกังวลใจเมื่อต้องไปสอบแข่งขันกับสถาบันอื่น
2. อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มในเรื่องของการทำกิจกรรมของโรงเรียน เช่น เทศกาลต่าง งานวันแม่ วันครู
3. เนื่องจากทางโรงเรียนมีนโยบายการเรียนการสอนที่แน่นอน เราไม่สามารถที่จะก้าวก่ายหลักสูตรนั้นได้เลยนอกจากเรียนพิเศษหลังเลิกเรียน

4. ไม่สอนอะไรเลยปล่อยให้เรียนรู้เองไปตามธรรมชาติ
หมายถึงปล่อยให้โตไปเอง เรียนรู้เอง อาจแค่ซื้อของเล่นมาให้ตามวัย แล้วก็ทิ้งให้เด็กอยู่กับการ์ตูนกับกองของเล่นแล้วแต่เขาจะหยิบจับอะไรมาเล่น ลักษณะนี้ส่วนมากออกไปในแนวฝากผู้ใหญ่ในบ้านดูแล หรือพี่เลี้ยงที่จ้างมาทำงานบ้าน มาดูแลเด็กหรือเติบโตในต่างจังหวัดมีธรรมชาติเป็นเพื่อนเล่นไปวันๆ

ข้อดี

1. เด็กมีความคิดสร้างสรรค์เองตามจินตนาการของตนเอง
2. เด็กไม่กดดันอะไรเลย มีความเชื่อมั่น ความเป็นตัวเองสูง เนื่องจากการเล่นแบบนี้เด็กสามารถลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง
3. เด็กสามารถต่อยอดความคิดได้เอง

ข้อเสีย

1. หากผู้ปกครองไม่ดูแลใกล้ชิดเด็กอาจเกิดอันตรายได้จากการเล่น
2. เด็กอาจไม่มีการดูแลรักษาของเล่น ทิ้งๆขว้างๆ ของพัง
3. เด็กจะไม่รู้จักเรื่องระเบียบวินัย เล่นแล้วก็แล้วไปไม่เก็บให้เข้าที่ เรื่องนี้นับว่าสำคัญมากเพราะการเก็บของเล่นเข้าที่นั้น ทั้งนี้ต้องเก็บให้เหมือนเดิม ไว้ให้ถูกที่ เด็กถึงจะเข้าใจเรื่องกระบวนการได้ดี

    ไม่ว่าจะสอนเด็กด้วยการเลือกแบบไหน อยู่ที่เราจะใส่ใจเขา ที่จะช่วยสอน ช่วยดูแล ช่วยควบคุม เพราะวัยเด็กมีความไม่นิ่งอยู่ในตัว จะเรียนจะเล่นอะไรคงต้องใช้สมาธิทั้งสิ้น ผู้ปกครองจึงควรหันมาสนใจเรื่องสมาธิ น่าจะถือเป็นทางออกที่ดีที่สุด ส่วนเรื่องการเลือกวิธีนั้นคงต้องเป็นไปตามกาลเทศะ ความจำเป็นในการเลี้ยงดู รายได้ ที่จะนำมาเป็นหลักในการตัดสินใจ

พัดลมมือถือ สบู่อาหรับขิง





Wednesday, April 20, 2016

เลี้ยงลูกด้วยกฎเกณฑ์เพื่อสร้างวินัยหรือยืดหยุ่นให้ลูกได้ผ่อนคลาย


    ตามพื้นฐานการสร้างครอบครัวในแต่ละครอบครัวจะมีกฎเกณฑ์ในบ้านไม่เหมือนกันตามวีถี ประเพณี การเลี้ยงดูอบรมกันมาจากรุ่นปู่ย่าตายายหรือข้อตกลงระหว่างคู่สามีภรรยาที่เพิ่งแต่งงานสร้างครอบครัว บ้างก็เคร่งครัดเหมือนอยู่ในวัง บ้างก็ไม่เน้นกฎระเบียบอะไรมาก ถือว่าค่อยๆอยู่ค่อยๆปรับ แต่ในระหว่างระยะทางการสร้างครอบครัวได้มีบุตรเข้ามามีส่วนร่วม ก่อให้เกิดความสับสนระหว่าง คำว่า กฎเกณฑ์เพื่อวินัยหรือยืดหยุ่นเพื่อสร้างสรรค์ เราควรทำอย่างไรดีเพื่อให้ลูกได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีแต่มีวินัยคู่กัน
กฎเกณฑ์ กติกา สร้างวินัย  คือการสร้างข้อตกลงระหว่างบุคคลในครอบครัวเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข แต่เมื่อมีลูกน้อยเข้ามา สิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวแปรที่สำคัญในการปลูกฝังให้เด็กรู้จักคิด ไตร่ตรอง และซื่อสัตย์ โดยอาจมีสิ่งที่ต้องคำนึงได้ดังนี้

-    ช่วงอายุ การสร้างกฎเกณฑ์ตั้งแต่วัยเด็กที่มีช่วงอายุตั้งแต่  1 ขวบขึ้นไปถือว่าสำคัญมาก เนื่องจากวัยนี้เป็นวัยที่เด็กกำลังจดจำ เรียนรู้ ลองผิดลองถูก ไม่สนใจว่าอะไรทำได้หรือไม่ได้ ลักษณะจะออกไปทางเล่นเพื่อเรียนรู้มากกว่า หากผู้ปกครองสามารถค่อยๆแทรก สร้างระเบียบวินัยในการเล่น ก็ถือว่าเป็นการเริ่มสร้างและเพิ่มความหมายของคำว่ากฎเกณฑ์ให้ลูกได้ไม่น้อยเช่นกัน เช่น การเล่นของเล่นแล้วเก็บให้เป็นที่ การวางจุดวางแก้วน้ำเมื่ออยากทานน้ำให้เดินมาจุดนี้และวางที่เดิม การเริ่มสอนเรื่องบีบยาสีฟันแต่เพียงพอดี การไม่เปิดน้ำทิ้งไว้ สิ่งเหล่านี้ ผู้ปกครองสามารถสอดแทรกไปได้ และเมื่อเด็กเริ่มโตขึ้นเด็กจะสามารถเรียนรู้เรื่องต่างๆได้รวดเร็วจากการมีพื้นฐานที่ดีในวัยเด็ก

-    พฤติกรรมเลียนแบบ จากการมองผู้ปกครองเป็นหลัก เด็กจะอยากทำตาม หากผู้ปกครองทำในสิ่งที่ดี ถูกต้อง มีวินัยแล้ว การสอนให้รู้จักคำว่าวินัยนั้นแล้วแทบจะไม่จำเป็นที่จะต้องจับเด็กมานั่งสอนให้เป็นเรื่องเป็นราวแค่เพียงเป็นตัวอย่างที่ดีเท่านั้น

-    สื่อสร้างสรรค์ ในปัจจุบันมีสื่อที่เกี่ยวกับเด็กๆมากมาย ทั้งในแง่การให้ความสนุก เพลิดเพลิน สอดแทรกความรู้ สอดแทรกจริยธรรม เน้นวิชาการ จนไปถึงการร่วมตอบคำถามระหว่างการชม เด็กจะไม่สามารถแยกแยะได้ถึงวัตถุประสงค์ของการชมจะยึดติดแค่เพียงสนุกเท่านั้น ผู้ปกครองควรจำแนกสื่อเหล่านั้นให้ดี การให้เด็กได้สัมผัสสื่อต่างๆ โดยมีผู้ปกครองอยู่ข้างๆค่อยๆสอนเด็กให้รู้จักคำว่า รู้จักดูรู้จักคิด จะช่วยให้เด็กได้รู้จักการนำไปใช้ได้ดีกว่าการนั่งดูเฉยๆผ่านๆไป

     ข้อเสียของการปลูกฝังให้เด็กยึดติดกับคำว่ากฎเกณฑ์มากเกินไป  

-    อาจก่อให้เด็กมีความเครียดสะสมโดยไม่รู้ตัว จนไม่สามารถทำอะไรได้เลย

-    เด็กจะมีความระแวงตลอดเวลาในเรื่องการทำให้พ่อแม่ผิดหวัง รู้สึกผิดตลอดเวลา เพราะเมื่อกฎเกณฑ์เยอะ คำว่าห้าม อย่าทำ หยุด จะเยอะไปตามกัน เด็กจะซึมเศร้า ไม่สดใสตามวัย เป็นเด็กขี้ระแวงและคอยจับผิดเพื่อนหรือคนอื่น จนอาจกลายเป็นเด็กขี้ฟ้องไปได้

-     จากการที่จะต้องคอยระวังไม่ให้ผิดตลอดเวลานั้น  ทำให้ศักยภาพการเรียนรู้ถดถอยไป ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ได้รวดเร็วเพราะยังย้ำคิดย้ำทำในจุดเดิมว่าถูกแล้วหรือไม่ ดีแล้วหรือไม่ ดีพอหรือไม่ ทุกคนพอใจหรือไม่

-    เด็กจะมีโลกส่วนตัวสูง เป็นโลกที่ไม่มีกฎเกณฑ์ใดๆ ตรงกันข้ามกับความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ไม่สุงสิงกับใคร อาจเล่น คุยแต่กับตุ๊กตา สร้างโลกส่วนตัวให้กับทุกสิ่ง เนื่องจากค้นพบว่าตัวเองจะมีความสุขมากหากได้เป็นคนควบคุมสิ่งเหล่านั้นด้วยตัวเองไม่ใช่พ่อแม่หรือบุคคลอื่น

ความยืดหยุ่นในการเลี้ยงดู หมายถึง การที่มีกฎเกณฑ์อยู่เป็นหลักแต่ไม่ยึดติดมาก คอยแต่จะอะลุ่มอล่วยตามเวลา โอกาสและสถานที่ การยืดหยุ่นจะส่งผลให้เด็กจะรู้สึกผ่อนคลายและยินดีที่จะรับสิ่งใหม่ๆได้โดยไม่ปิดกั้นความคิด สามารถปล่อยให้สิ่งที่ควรจะเป็นเป็นไปตามกาลเวลา ตามโอกาส เพราะฉะนั้นการสอนให้เด็กรู้จักความยืดหยุ่นนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องยากมาก เด็กจะเรียนรู้แค่ ซ้ายก็คือซ้าย ขวาก็คือขวา เด็กจะไม่รู้จักคำว่าตรงกลางเป็นอย่างไร เพราะฉะนั้นการสอนให้เด็กรู้จักคำว่าพอดี เพียงพอ น่าจะเป็นสิ่งที่ดีและง่ายแก่การเข้าใจได้ดีกว่า แต่ในภาคปฏิบัตินั้น ความยืดหยุ่นในกฎเกณฑ์นั้นจะเป็นเพียงสิ่งที่พ่อแม่ต้องเรียนรู้เอง ไม่สามารถบอกหรือบ่งชี้เฉพาะให้เด็กท่องจำได้

ข้อเสียของการยืดหยุ่นจนมากเกินไป

-    เด็กจะไม่สามารถตีความหมายของคำว่า วินัยได้ชัดเจน เด็กจะคิดแค่เพียงว่า ไม่เป็นไร ก่อให้เกิดปัญหาในอนาคตเรื่องของความไม่ใส่ใจ ไม่ตั้งใจในการทำสิ่งนั้นๆให้สำเร็จได้ จนอาจเป็นภาระแก่ผู้อื่นในอนาคตได้

-    เด็กจะรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อฟังผู้ปกครองมากเท่าที่ควร จนก่อให้เกิดความก้าวร้าวได้ในที่สุด

-    ผู้ปกครองจะปกครองเด็กได้ยากกว่าเดิม เพราะเมื่อเด็กยึดติดแล้วว่า กฎมีไว้ยืดหยุ่นได้ เด็กจะไม่สนใจกฎที่สำคัญอื่นๆได้เลย คิดแต่เพียงจะหาช่องทางหลบหลีกกฎเกณฑ์จนเมื่อมีปัญหาจนต้องมีการลงโทษแล้วเด็กจะโกหก หาช่องทางหลบหลีกปัญหา ไม่กล้าสู้ยอมรับความจริง จนในที่สุดเด็กจะไม่หวังพึ่งผู้ปกครองอีกต่อไปก่อให้เกิดปัญหาการพึ่งยาเสพติดตามมาได้

ไม่ว่าผู้ปกครองจะเน้นการเลี้ยงดูแบบใดแล้ว ความพอดีในการเลี้ยงดู ความเหมาะสมตามวัย การสอนให้รู้จักกาลเทศะ เลือกปฏิบัติให้ถูกต้องตามวีถีปฏิบัติ   ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญไม่น้อยกว่าความรักที่ต้องให้โดยสม่ำเสมอและตลอดเวลา มิใช่เลือกว่าวันนี้จะเน้นย้ำเรื่องนี้แต่อีกวันกลับเฉยเมยกับสิ่งนั้น  ความสม่ำเสมอนั้นจะก่อให้เกิดความเคยชินก่อร่างสร้างตัวจนกลายเป็นนิสัยที่ติดตัวไปจนโต มากเกินไปก็ไม่ดี น้อยเกินไปก็ไม่ดี เมื่อผู้ปกครองพบปัญหาจึงควรวิเคราะห์ นำปัญหามาแก้ไขก่อนแล้วจึงค่อยๆสอนให้เด็กได้เรียนรู้ในลักษณะสอนด้วยความเอ็นดูมิใช่การสั่งให้ทำ จึงจะถือว่า การสอนด้วยความรักดีกว่าตีแล้วให้จำ เพียงเท่านี้ ไม่ว่ากฎเกณฑ์จะมากเพียงใดแล้ว เด็กจะรู้สึกยินดีและพร้อมปฏิบัติตามด้วยความเข้าใจ

พัดลม USB สบู่อาหรับขิง

Sunday, April 17, 2016

เป็นเหาตอนตั้งครรภ์ ทำอย่างไรดี



รู้จักเหา :

"เหา" ที่พบบ่อยในเด็กวัยเรียน เป็นการติดต่อทางการสัมผัสโดยตรง สามารถติดกันได้ง่าย จากการใช้หวี แปรง ร่วมกัน การใช้หมวก ร่วมกัน การใช้หมอน ที่นอนร่วมกัน จากศีรษะคนหนึ่งไปที่ศีรษะอีกคนหนึ่ง ซึ่งหากจะคิดไปแล้วว่าเกิดขึ้นได้แต่วัยเด็กเท่านั้น จริงๆแล้วไม่ใช่เลย ในผู้ใหญ่ก็สามารถติดได้ด้วยเช่นกันจากการคลุกคลีกับลูกๆ

ของเราเอง ดังประสบการณ์เมื่อตอนตั้งครรภ์ลูกคนเล็กได้ประมาณ 6-7 เดือน รู้สึกคันศีรษะมากและสระผมทุกวันแต่ก็ยังคันอยู่ หลังจากนั้น ประมาณ 10 วันรู้สึกเหมือนมีมดหรือแมลงมาไต่ที่หน้าผากด้วยความไวของมือจึงหยิบมาดูทันที สังเกตลักษณะแล้วเห็นว่าดิ้นเลยจัดการบี้ด้วยความไม่รู้และคาดไม่ถึงจึงไม่ได้สนใจแต่อย่างใด แต่แล้วก็ยังคันศีรษะตลอด พาลนึกไปถึง “เหา” จึงรู้สึกกังวลและลองค้นหาทางอินเตอร์เน็ทซึ่งก็พบว่ามีลักษณะดังกล่าวตรงกับตัวที่เราได้เจอในวันนั้น ด้วยความที่คาดไม่ถึงและไม่ยอมรับความจริงจึงไปดูที่หน้ากระจกอีกครั้ง ดูบริเวณที่คันมากๆ สังเกตเห็นไม่อะไรขาวๆจึงรูดมาลองบีบดู ได้ยินเสียงดังแป๊ะ จึงสรุปได้เลยว่า ไม่ว่าจะอายุเท่าไร เหาก็สามารถเกิดขึ้นได้เสมอ

จึงถึงเวลาที่ต้องศึกษาอย่างละเอียดแต่ด้วยยังตั้งครรภ์อยู่จึงต้องใช้หลักการหลีกเลี่ยงสารเคมีทุกชนิด ทั้งยาฆ่าเหา น้ำส้มสายชู ผิวมะกรูดซึ่งหายากสำหรับวิถีชีวิตในคอนโดมิเนียม ยิ่งใบน้อยหน่านั้นไม่ต้องกล่าวถึงหรือแม้กระทั่งตัดทิ้งด้วยความเสียดายว่าผมยาว จึง ไม่สามารถทำได้ด้วยประการทั้งปวง จึงจำเป็นที่ต้องหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะรักษาเหาได้ด้วยความปลอดภัยและง่าย

วิธีกำจัด "เหา" โดยไม่ต้องตัดผม ไม่ต้องพึ่งสารเคมีต่างๆ

การเตรียมการ:

1. เตรียมหวีเสนียด(หวีซี่ถี่ๆ หาซื้อได้ง่ายๆที่ตลาดนัด)
2. เบียร์ 1 ขวด
3.ผ้าเช็ดผม แบบที่ตามร้านทำผมใช้เพื่อนำมาหมักผม
4.ขันน้ำ
5.กระดาษสีขาว อาจใช้กระดาษ A4 เพื่อที่จะสังเกตได้ง่ายเมื่อต้องตรวจว่ายังมีหลงเหลืออยู่หรือไม่
6.ครีมนวดผมหรือครีมหมักผมสามารถนำมาใช้ได้หมด
7.น้ำมันมะพร้าว (มีหรือไม่มีก็ได้)

ลงมือทำ:

1. นำผ้าขนหนูที่ยังคงแห้งเตรียมใส่ขัน
2.ก้มศีรษะให้ปลายผมอยู่ในขัน
3.เทเบียร์ลงบนหนังศีรษะให้ทั่วศีรษะ โดยที่เบียร์จะไหลลงไปในขันที่มีผ้า
4.ม้วนผมขึ้นและนำผ้าชุบเบียร์ในขันให้บิดให้หมาด แล้วนำมาพันหมักผมไว้
5 .ทิ้งไว้นานประมาณ3-4 ชม. หรือจนกว่าผ้าเกือบแห้ง
6. แกะผ้าออกซึ่งยังไม่ต้องล้าง ใส่ครีมนวดผม หรือครีมหมักผม พันผ้าไว้อีกครั้งและหมักผมต่ออีกประมาณ15-20 นาที
7.จากนั้นนำหวีเสนียดมาหวีสางออกให้เรื่อยๆจนกว่าจะคาดว่าพอจะหมดแล้ว โดยที่ตัวแม่เหานั้นจะหลุดหล่นลงมาด้วย ในส่วนนี้จะยังไม่หมดไปในทีเดียว หากแต่ต้องทำอีกหลายครั้ง
8.ล้างผมออกด้วยน้ำธรรมดามาหมักผมต่อด้วยน้ำมันมะพร้าว
9.ควรทำวันละ 2 ครั้งเช้าเย็น โดยใช้ขั้นตอนเดียวกันนี้
10. ทำติดต่อกัน 3-4 วันจนกว่าหรือจนกว่าจะแน่ใจว่าหายแล้ว

เนื่องด้วยจากการเป็นเหานี้ เกิดขึ้นในช่วงตั้งครรภ์ อาจเกิดการดูแลรักษาตัวนั้นค่อนข้างยากอีกทั้งเมื่อต้องภาระจากครอบครัว หรือมีบุตรที่ต้องดูแล งานบ้านที่ต้องทำ จึงทำให้อาจละเลยไป ยิ่งรวมไปถึงการมีเด็กในบ้าน สิ่งที่ต้องทำอย่างสม่ำเสมอคือ คอยตรวจตราเส้นผมไม่ว่าจะเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงก็มีสิทธิ์เป็นได้ทั้งคู่ มิใช่แต่เด็กผู้หญิงด้วยกันเท่านั้น ผู้ปกครองจึงควรใส่ใจทั้งบุตรของตนเองอีกทั้งคอยสอบถามครูประจำชั้นด้วยเช่นกันว่ามีเด็กคนไหนเป็นด้วยหรือไม่ การแจ้งครูประจำชั้นนั้นสำคัญมากและจำเป็นต้องได้รับความร่วมมือกันทั้งสองฝ่าย หมายถึง การคัดแยกเด็กที่สามารถจะแพร่พันธุ์ได้ การใช้หวีแยกหรือควรมีหวีประจำตัวกันไป

รวมไปถึงการแจ้งผู้ปกครองของเด็กทั้งที่เป็นและไม่เป็นให้ช่วยกันสอดส่องดูแลกันให้มากขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งการขอความร่วมมือไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนด้วยเช่นกันเพื่อคัดกรอง แยกเด็กที่อาจติดกันจากการมีสังคมนอกห้องเรียน อาทิเช่น การขึ้นรถโรงเรียนด้วยกันนั่งชิดกันเป็นต้น

ดังนั้นเราจะเห็นว่า เรื่องของเหาๆ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในช่วงวัยใดล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่เรียกว่า โรคติดต่อ ทั้งสิ้น เราจึงควรใส่ใจดูแลรักษาร่างกาย ผม เล็บให้สะอาดอยู่เสมอ เป็นการสร้างลักษณะนิสัยที่ดีอีกทั้งเป็นการปลูกฝังให้เด็กรู้จักป้องกันตนเองและรู้จักวิธีรักษาได้ต่อไปได้ด้วยเช่นกัน

พัดลมมือถือ สบู่อาหรับขิง

Saturday, April 16, 2016

10 เทคนิคการสอนให้พี่น้องรักกัน ทำได้ไม่ยาก




ตามหลักการวางแผนครอบครัวที่เหมาะสมคือ ควรมีบุตรได้เพียง 2 คน อ้างอิงจากสมาคมวางแผนครอบครัว ครั้นจะมีเพียงคนเดียวก็เกรงว่าลูกไม่มีเพื่อนเล่น กลัวว่าไม่มีพ่อแม่แล้วลูกจะไม่มีใคร หลายครอบครัวจึงตัดสินใจที่จะมีอีกหนึ่งคนหวังเพียงให้เค้ารักกัน พึ่งพาอาศัยกันแบบจริงใจ มีความรักให้กันแบบที่ไม่มีใครสามารถเทียบได้ แต่จะทำอย่างไรให้พี่น้องรักกัน ไม่เป็นเพียงลมปากที่พ่อแม่คอยสั่งให้"ต้องรักกัน"

เทคนิคการสอนให้พี่น้องรักกัน
 
1. การใช้สรรพนามพี่และน้องแทนตัว ซึ่งเป็นคำจำกัดความ เป็นคำที่มีความหมายในตัวอยู่แล้ว พี่ก็คือผู้ที่เกิดก่อน น้องก็คือผู้ที่เกิดทีหลัง ไม่ว่าจะอ่อนกว่าด้วยวัน เดือนหรือปี การลำดับนั้นย่อมสำคัญเป็นไปตามหลักธรรมชาติ ผู้ปกครองจึงควรสอนให้ลูกได้เรียกพี่ว่าพี่ และน้องก็แทนตัวเองว่าน้อง เช่น พี่เต้ย น้องต่าย
 
2. การสอนให้รู้จักหน้าที่ที่พึงมีตามหลักอายุ หมายถึง ลูกคนที่โตกว่าย่อมมีประสบการณ์มาก่อน จึงควรสอนให้เป็นไปในทางพี่สอนน้อง น้องทำตามพี่ด้วยความเต็มใจ
 
3. การสอนให้รู้จักแบ่งปัน เสียสละ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กับพี่กับน้อง โดยความสำคัญระหว่างพี่น้องอาจต้องมาก่อนเพื่อน หากการช่วยเหลือในครอบครัวยังมีไม่ได้ก็จะหาความจริงใจจากคนภายนอกก็ทำได้ยากเช่นกัน
 
4. การสอนให้เห็นคุณค่าของกันและกัน ผู้ปกครองควรเน้นย้ำให้ทั้งพี่และน้องตระหนักถึงการมีกันและกัน ซึ่งหากขาดใครไปสักคนก็เปรียบเหมือนบ้านที่แตกพัง กิจกรรมบางอย่างในครอบครัวต้องอาศัยคุณค่าของการอยู่ร่วมกันจึงจะเกิดความสุขที่แท้จริง อาทิ การจัดงานวันเกิด หากจัดโดยไม่ครบครอบครัว งานในวันนั้นก็จะสนุกไม่ได้เลย
 
5. การสอนให้รู้จักอภัย ถ้อยทีถ้อยอาศัยไม่ใช้กำลังเพื่อการได้มา มีบ่อยครั้งที่พี่น้องตีกันเพื่อแย่งของกัน จึงเป็นหน้าที่หนึ่งที่ผู้ปกครองต้องเปรียบเหมือนกรรมการคอยห้ามและตัดสินอย่างยุติธรรม ไม่เอนเอียงไปข้างคนที่ตนรักหรือเพียงเพราะอ่อนแอกว่าเพราะในบางครั้งก็ไม่จำเป็นเสมอไปว่าพี่ต้องยอมน้องในทุกกรณี พี่อาจได้รับการตัดสินให้เป็นฝ่ายที่ถูกต้องบ้างก็เป็นได้
 
6. เลิกพฤติกรรมการแข่ง ผู้ปกครองไม่ควรใช้คำว่าชนะหรือแพ้ ไม่ว่าจะแข่งอาบน้ำ กินข้าว เก็บของเล่น ทำการบ้านรวมไปถึงผลการเรียน อาทิ ใครเร็ว ใครทำก่อน ใครคะแนนดีกว่า จะเป็นฝ่ายชนะซึ่งในความเป็นจริงแล้วอีกฝ่ายอาจกำลังทำด้วยเช่นกันแต่อาจช้ากว่าด้วยบุคลิกหรือความรอบคอบที่มีมากกว่าจึงไม่อาจเปรียบเทียบได้เลยกับคำว่าแพ้หรือชนะ ก่อให้เกิดอุปนิสัยแก่งแย่งชิงดีเพื่อให้พ่อแม่กล่าวชมว่าทำได้เร็วดังใจพ่อแม่ ซึ่งเด็กจะจำฝังใจไปถึงตอนโต ว่าเมื่อคนแพ้มักต้องได้รับความอับอายที่ทำการสำเร็จได้ช้ากว่า อาจส่งผลให้เกิดความอิจฉา ทำการโดยความไม่รอบคอบและไม่ยอมรับอาจความจริงได้เลยว่าตนเป็นฝ่ายแพ้
 
7. เน้นย้ำการลงโทษที่เท่าเทียมและยุติธรรม ไม่เอนเอียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ควรมีการซักถามถึงที่มาที่ไปให้ดีเสียก่อนลงโทษ เพราะในบางครั้งภาพที่เห็นอาจไม่ใช่คำตอบที่แท้จริงก็เป็นได้ อาจสร้างความน้อยเนื้อต่ำใจในการโดนลงโทษทั้งที่ไม่ผิดหรือเป็นความผิดเล็กๆน้อยๆที่เกิดจากการเล่นกันเพียงเท่านั้นเอง
 
8. สอนให้มีการดูแลซึ่งกันและกัน ในยามเจ็บป่วยให้ดูแลเช็ดตัวหาน้ำให้ทานในสิ่งที่ช่วยได้เล็กๆน้อยๆ ชี้ให้เห็นถึงความเจ็บปวดของอีกฝ่ายที่มี เมื่อมีความทุกข์ ควรสอนให้พี่หรือน้องได้รับการปลอบประโลมจากอีกฝ่ายอีกทั้งสอนให้รู้จักหาเหตุผลที่ถูกต้องมาอธิบายหรือปลอบประโลม มิใช่เพียงเข้าข้างโดยไม่มองว่าอะไรควรหรือไม่ควร
 
9. ผู้ปกครองควรหากิจกรรมร่วมกันให้พี่และน้องได้ทำ อาทิการร่วมกันจัดสวน จัดบ่อปลา ออกกำลังกายที่เป็นคู่ เล่นดนตรีที่ไปในทางเดียวกัน เพื่อเสริมกำลังนันทนาการร่วมก่อให้เกิดความสุขและรอยยิ้มได้ระหว่างพี่น้อง
 
10. สร้างประเด็นให้ช่วยวิเคราะห์และช่วยกันสรุป ผู้ปกครองควรใช้โอกาสพิเศษต่างๆ ถกเถียงประเด็นที่คิดว่ามีความแตกต่างในทัศนคติของแต่ละคนและร่วมสรุปถึงทางออกหรือภาพรวมในสิ่งที่ควรจะเป็น อาทิ เมื่อดูข่าวแล้วผู้ปกครองควรตั้งประเด็นให้ถกเถียง โดยถามความคิดเห็นจากพี่และน้องและให้ร่วมสรุปประเด็นนั้นๆด้วยกันโดยไม่มีใครผิดหรือถูก ข้อนี้นับว่าสำคัญมาก เป็นการสอนให้เคารพกันและกันไปในตัว ช่วยคิดช่วยทำ เพราะในอนาคตข้างหน้า ความคิดเห็นที่ไม่ลงรอยกันนี้คือจุดเปลี่ยนของการอยู่ร่วมกันได้

ทั้ง10 เทคนิคนี้จะเห็นว่าทำได้ไม่ยากหากเพียงแต่ผู้ปกครองใส่ใจและพยายามทำให้ดีที่สุด อนาคตข้างหน้าก็จะได้มีความอุ่นใจ มั่นใจว่าพี่น้องจะรักกันไปตราบนานเท่านาน จะไม่มีใครทิ้งใครหากใครคนหนึ่งลำบาก ซึ่งนับได้ว่าเป็นความหวังสุดท้ายของการมีลูกหลายคน ดังคำที่ว่า "เมื่อมีลูกหวังเพียงได้พึ่งพิงยามแก่เฒ่า แต่เมื่อพ่อแม่ไม่อยู่แล้วหวังพวกเจ้าจะไม่ทอดทิ้งกัน จะรักกันตลอดไป"